ความรู้เรื่องโรคสำหรับประชาชน

ต่อมลูกหมากโต : รักษาอย่างไร

ปกติแล้ว ข้อบ่งชี้ในการรักษาต่อมลูกหมากโตคือ

  • มีภาวะแทรกซ้อนจากต่อมลูกหมากโตเกิดขึ้นแล้ว

      - ปัสสาวะเองไม่ได้เนื่องจากต่อมลูกหมากโต

      - ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ

      - นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

      - ไตวาย

ทั้งสี่กรณีนี้เป็นข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องให้การรักษาอย่างแน่นอน และมักจะต้องรักษาโดยการผ่าตัดเป็นหลัก

  • เพื่อลดอาการ และเพิ่มคุณภาพชีวิต

   - ไม่ต้องเบ่งปัสสาวะมาก

   - ไม่ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำกลางคืนบ่อยๆ

   - ลดอาการปัสสาวะราดหรือต้องรีบไปห้องน้ำ

  • ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากต่อมลูกหมากโตในอนาคต

# รักษาอย่างไร ?

โดยทั่วไปจะเลือกแนวทางการรักษาตามความรุนแรงของอาการ ดังนี้

แนวทางการรักษาต่อมลูกหมากโตตามความรุนแรงของอาการ

 

แต่ทั้งนี้ ต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายๆอย่างประกอบกันด้วย โดยเฉพาะความคาดหวังต่อผลการรักษาและสภาพร่างกายของผู้ป่วย บางกรณีอาการไม่มากแต่มีผลรบกวนคุณภาพชีวิตมากก็อาจเลือกรักษาโดยการผ่าตัดได้

 

# การรักษาโดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม คืออะไร?

เป็นการปรับเปลี่ยนกิจกรรมบางอย่าง เพื่อให้อาการทางระบบปัสสาวะลดน้อยลง

  1. ลดการดื่มชากาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่าเครื่องดื่มจำพวกชากาแฟจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะจึงทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายสร้างนำ้ปัสสาวะมากขึ้นจึงมีผลให้ปัสสาวะบ่อยเช่นกัน
  2. ปัสสาวะก่อนเข้านอนทุกคืน เพื่อลดปริมาณน้ำปัสสาวะที่ค้างอยู่ในร่างกาย ทำให้ไม่ต้องตื่นมาปัสสาวะกลางดึก
  3. กำหนดเวลาปัสสาวะในช่วงกลางวันทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ตามปกติ
  4. ระวังท้องผูก เนื่องจากการที่ท้องผูกเป็นเวลาหลายวันมีผลให้ปัสสาวะลำบากมากขึ้นได้

# การรักษาด้วยยา

ประกอบด้วยยา 4 ประเภท คือ

1. ยาคลายกล้ามเนื้อเรียบในต่อมลูกหมาก 

- ออกฤทธิ์ได้เร็ว มักเลือกใช้เป็นยาตัวแรก

- ผลข้างเคียง : มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตด้วย อาจทำให้หน้ามืด เวียนศีรษะ

- ตัวอย่างยากลุ่มนี้เช่น alfuzosin (Xatral), doxazosin (Cardura, Pencor), Tamsulosin (Harnal)

 

2. ยาลดขนาดต่อมลูกหมาก

- ยับยั้งการเจริญของต่อมลูกหมาก

- ใช้เวลา 3-6 เดือนจึงเริ่มเห็นผล

- ผลข้างเคียง : อาจทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง การหลั่งน้ำอสุจิผิดปกติ

- ตัวอย่างยากลุ่มนี้เช่น dutasteride (Avodart), finasteride (Proscar, Firide)

 

3. ยาลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ

- ต่อมลูกหมากโต --> กระเพาะปัสสาวะต้องทำงานหนักขึ้น และอาจมีการบีบตัวไวกว่าปกติ

- อาการที่พบคือ ปัสสาวะบ่อย ต้องรีบ เล็ดราด การให้ยาลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะจะลดอาการเหล่านี้ได้ 

- นิยมใช้เป็นยาเสริมจากยาสองกลุ่มข้างต้นมากกว่า

- ผลข้างเคียงของยา : ปากแห้งคอแห้ง ท้องผูก

- ตัวอย่างยากลุ่มนี้เช่น trospium (Spasmo-lyt), solifenacin (Vesicare), Oxybutinin (Diutropan)

 

4. ยาสมุนไพร มีจำหน่ายมากมายทั้งในรูปของยาแผนปัจจุบันและยาแผนโบราณ แต่ยังไม่มีงานวิจัยชิ้นใดที่แสดงว่ายากลุ่มนี้ได้ผลดีจริง ในปัจจุบันจึงไม่ใช้เป็นยาหลักในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโต

 

# การรักษาโดยการผ่าตัด

1. การผ่าตัดต่อมลูกหมากแบบเปิดหน้าท้อง

- ใช้กรณีต่อมลูกหมากใหญ่มาก

- ปัจจุบันไม่นิยมทำแล้ว

- เป็นการผ่าตัดใหญ่ เสียเลือดมาก ต้องนอนโรงพยาบาลราว 7-10 วัน

 

การผ่าตัดต่อลูกหมากแบบเปิดหน้าท้อง

 

 

2. การส่องกล้องคว้านเนื้อต่อมลูกหมาก (TUR-P : transurethral resection of prostate)

- ใช้ลวดไฟฟ้าคว้านเนื้อต่อมลูกหมากออกมา

- เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานในปัจจุบัน

- ภาวะแทรกซ้อน 

      ระยะแรก : เสียเลือด การติดเชื้อ เกลือแร่ในเลือดผิดปกติ

      ระยะหลัง : ท่อปัสสาวะตีบ การหลั่งนำ้อสุจิผิดปกติ

 

การส่องกล้องเพื่อคว้านเนื้อต่อมลูกหมากออก

 

3. การผ่าตัดต่อมลูกหมากด้วยเลเซอร์

- ใช้พลังงานเลเซอร์ทำให้ต่อมลูกหมากระเหิดไป

- ผลการรักษาใกล้เคียงกับการคว้านเนื้อต่อมลูกหมากด้วยลวดไฟฟ้า (TUR-P)

- เสียเลือดน้อยกว่า เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวมาก

- ราคาแพงมาก

 

การทำลายเนื้อต่อมลูกหมากด้วยพลังงานเลเซอร์

 

 

4. การใส่ขดลวดถ่างต่อมลูกหมาก (prostatic stent)

- เป็นขดลวดชนิดถาวร ทำจากวัสดุที่มีปฏิกริยากับเนื้อเยื่อร่างกายน้อย ใช้ได้ตลอดชีวิต

- ไม่มีการเสียเลือดระหว่างใส่ขดเลือดเลย ทำได้ง่ายและใช้เวลาน้อย เหมาะกับผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวมาก

- มีโอกาสที่ขดลวดจะเลื่อนตำแหน่งได้ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง

- ราคาแพงมาก

 

ขดลวดที่ใส่เข้าไปถ่างต่อมลูกหมากออก